แนะนำ 10 สาขาที่เรียนแล้วไม่ตกงาน ยากที่จะโดน AI Disrupt | Applied Physics
  กลับสู่หน้าบทความ

คณะอะไรเรียนแล้วไม่ตกงาน มั่นคงในยุคที่ AI มีบทบาทมากขึ้น ?

 10 กันยายน 2568 10:26:51

คณะอะไรเรียนแล้วไม่ตกงาน มั่นคงในยุคที่ AI มีบทบาทมากขึ้น ?

ทุกวันนี้ น้อง ๆ หลายคนอาจได้ยินข่าวว่า “AI จะมาแทนที่แรงงานมนุษย์” หรือ “อนาคตอาชีพบางอย่างอาจหายไป” จนเริ่มลังเลว่ามีคณะอะไรเรียนแล้วไม่ตกงานบ้าง จบไปแล้วยังมีตำแหน่งงานเปิดรับ ไม่ถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์หรือระบบอัตโนมัติ

อย่างไรก็ตาม ความจริงคือ AI ไม่ได้แย่งงานทุกอาชีพ และ ไม่ได้มาเพื่อแทนที่มนุษย์ทั้งหมด เพราะยังมีอีกหลายสายงานที่ต้องใช้ “ความคิดสร้างสรรค์”, “การตัดสินใจที่ซับซ้อน” รวมถึง “การเข้าใจมนุษย์ในแบบที่ AI ทำไม่ได้” ซึ่งถือเป็นทักษะเฉพาะที่มนุษย์ยังคงได้เปรียบ AI อยู่มาก บทความนี้เลยอยากจะมาแนะนำ 10 สาขาวิชาที่เรียนแล้วมีอนาคตและยากที่ AI จะมาทดแทนได้ในเร็ว ๆ นี้ เพื่อช่วยให้น้อง ๆ ที่กำลังตัดสินใจเลือกคณะ สามารถวางแผนอนาคตพร้อมกับเตรียมตัวอ่านหนังสือ และเลือกคอร์สเรียนพิเศษออนไลน์ได้อย่างตรงจุด

Table of Contents:
• ทำความเข้าใจกันก่อน AI เก่งอะไร และไม่เก่งอะไร ?
• 10 สาขาที่เรียนแล้วไม่ตกงาน ยากที่จะโดน AI Disrupt
• 1. กลุ่มสาขาแพทยศาสตร์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ
• 2. กลุ่มสาขาวิศวกรรมศาสตร์ (ที่เน้นการสร้างสรรค์และแก้ปัญหา)
• 3. กลุ่มสาขานิติศาสตร์และรัฐศาสตร์
• 4. กลุ่มสาขาการศึกษาและจิตวิทยา
• 5. กลุ่มสาขาสายสร้างสรรค์และศิลปะ
• 6. กลุ่มสาขาบริหารธุรกิจ (ที่เน้นกลยุทธ์และภาวะผู้นำ)
• 7. กลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์ข้อมูลและผู้เชี่ยวชาญด้าน AI
• 8. กลุ่มสาขางานช่างฝีมือและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
• 9. กลุ่มสาขาสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน
• 10. กลุ่มสาขาผู้ประกอบการและนวัตกรรม

แพทยศาสตร์คือหนึ่งในสาขาที่เรียนแล้วไม่ตกงาน

ทำความเข้าใจกันก่อน AI เก่งอะไร และไม่เก่งอะไร ?

ก่อนจะไปดูลิสต์สาขาที่เรียนแล้วไม่ตกงาน เรามาทำความเข้าใจธรรมชาติของ AI กันก่อนดีกว่า น้อง ๆ จะได้เห็นภาพชัดขึ้นว่าทำไมบางอาชีพถึงเสี่ยง และบางอาชีพถึงปลอดภัย

สิ่งที่ AI เก่งมาก ๆ คือ งานที่เป็น Routine ทำซ้ำ ๆ มีรูปแบบชัดเจน รวมถึงงานที่เกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล (Big Data) การวิเคราะห์และหาแพทเทิร์นที่ซับซ้อนเกินกว่ามนุษย์จะมองเห็น และงานที่ต้องการความแม่นยำสูงสุด เช่น การป้อนข้อมูล, การวิเคราะห์ผลทางการเงินเบื้องต้น, การตอบคำถามลูกค้าแบบง่าย ๆ หรืองานในสายการผลิตที่ทำเหมือนเดิมทุกวัน

ในทางกลับกัน สิ่งที่ AI ยังทำได้ไม่ดี (หรือทำไม่ได้เลย) คือ

• ความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) : การคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน การสร้างงานศิลปะ การเขียนเรื่องราวที่กินใจ
• การคิดเชิงวิพากษ์และการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน (Critical Thinking & Complex Problem-Solving) : การตัดสินใจในสถานการณ์ที่ไม่มีข้อมูลตายตัว ต้องอาศัยการประเมินรอบด้าน วางกลยุทธ์ และพิจารณาปัจจัยที่คาดไม่ถึง
• ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence) : การเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองและผู้อื่น การเอาใจใส่ การสร้างแรงบันดาลใจ การเจรจาต่อรอง หรือการทำงานร่วมกับคนอื่นเป็นทีม
• ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ (Human Interaction) : การสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง การให้คำปรึกษา การดูแลเอาใจใส่ การสร้างความไว้วางใจ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของหลาย ๆ อาชีพ

เมื่อเข้าใจจุดแข็ง-จุดอ่อนของ AI แล้ว เราก็จะมองเห็นว่าสาขาที่เรียนแล้วไม่ตกงาน ต้องเป็นสาขาที่เน้นการพัฒนาทักษะที่ AI ทำแทนไม่ได้นั่นเอง

10 สาขาที่เรียนแล้วไม่ตกงาน ยากที่จะโดน AI Disrupt

1. กลุ่มสาขาแพทยศาสตร์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ

ไม่ว่าจะเป็น แพทย์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ พยาบาล นักกายภาพบำบัด หรือนักกิจกรรมบำบัด อาชีพในกลุ่มนี้ยืนหนึ่งเรื่องความปลอดภัยจาก AI เพราะถึงแม้ AI จะเข้ามาช่วยในการวินิจฉัยโรคได้แม่นยำขึ้น รวมถึงการช่วยวิเคราะห์ผลแล็บ หรือช่วยผ่าตัด แต่สุดท้ายแล้ว AI ยังไม่สามารถเข้ามาแทนที่ "ความเป็นมนุษย์" ในกระบวนการรักษาได้

หัวใจของสายสุขภาพคือการสื่อสาร ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy) และการตัดสินใจที่ซับซ้อน AI อาจจะบอกได้ว่าคนไข้มีแนวโน้มเป็นโรค A, B, C แต่แพทย์คือคนที่ต้องพูดคุยกับคนไข้และญาติเพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด โดยคำนึงถึงสภาพจิตใจและปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ด้วย สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยความเข้าใจในอารมณ์ของมนุษย์ ซึ่ง AI ยังห่างไกลจากจุดนั้นมาก

2. กลุ่มสาขาวิศวกรรมศาสตร์

น้อง ๆ หลายคนอาจจะคิดว่าวิศวะฯ เป็นสายคำนวณเป๊ะ ๆ น่าจะโดน AI แทนที่ได้ง่าย แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย โดยเฉพาะวิศวกรที่ทำงานด้านการออกแบบ การวางระบบที่ซับซ้อน การบริหารโครงการ และการแก้ปัญหาหน้างาน

แม้ AI อาจจะช่วยคำนวณโครงสร้างที่แข็งแรงที่สุดได้ แต่วิศวกรคือคนที่ต้องออกแบบตึกให้สวยงาม เข้ากับสภาพแวดล้อม และตอบโจทย์การใช้งานของมนุษย์ หรือวิศวกรหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ ที่ไม่ได้แค่สร้างหุ่นยนต์ แต่ต้องออกแบบกระบวนการทั้งหมดให้ทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างราบรื่น งานเหล่านี้ต้องใช้ทั้งความคิดสร้างสรรค์ ทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการทำงานร่วมกับผู้คนหลากหลายฝ่าย ซึ่งเป็นสกิลของมนุษย์ล้วน ๆ

3. กลุ่มสาขานิติศาสตร์และรัฐศาสตร์

กฎหมายไม่ใช่แค่การท่องจำตัวบท แต่คือ การตีความ, การใช้ดุลยพินิจ, การเจรจาต่อรอง, และการทำความเข้าใจบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยAI อาจจะช่วยค้นหาคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องได้ในเสี้ยววินาที แต่ทนายความ คือผู้ที่ต้องวางกลยุทธ์ในการสู้คดีในชั้นศาล ต้องอ่านใจคู่ต่อสู้และลูกขุน ผู้พิพากษา ทั้งยังต้องชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานและใช้ดุลยพินิจในการตัดสินโดยคำนึงถึงความยุติธรรม ส่วนนักการทูต ก็ต้องใช้ศิลปะในการเจรจาเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ ทักษะเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความเข้าใจในพฤติกรรมมนุษย์และสังคมอย่างลึกซึ้ง ซึ่ง AI ไม่สามารถทำความเข้าใจความซับซ้อนเหล่านี้ได้ ทำให้นี่เป็นอีกหนึ่งสาขาที่เรียนแล้วไม่ตกงานในอนาคต

4. กลุ่มสาขาการศึกษาและจิตวิทยา

หัวใจของอาชีพ ครู อาจารย์ และนักจิตวิทยา คือการสร้างแรงบันดาลใจ การให้คำปรึกษา และการทำความเข้าใจพัฒนาการของมนุษย์

AI อาจจะสร้างบทเรียนส่วนบุคคล (Personalized Learning) ให้นักเรียนแต่ละคนได้ แต่ AI ไม่สามารถเป็น "ครู" ที่คอยสังเกตเห็นแววตาของนักเรียนที่กำลังสับสน รวมถึงเข้าไปให้กำลังใจจนเขากลับมามีไฟในการเรียนได้ อีกทั้ง AI ยังไม่สามารถเป็น "นักจิตวิทยา" ที่นั่งรับฟังปัญหาอย่างลึกซึ้ง สร้างความไว้วางใจ และช่วยให้คน ๆ หนึ่งก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิตไปได้ เพราะงานเหล่านี้ต้องการความฉลาดทางอารมณ์และการสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์

5. กลุ่มสาขาสายสร้างสรรค์และศิลปะ

นี่คือกลุ่มสาขาที่เรียกได้ว่าเป็นขั้วตรงข้ามของ AI ก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็น นักเขียน นักการตลาดสร้างสรรค์ นักออกแบบกราฟิก ผู้กำกับภาพยนตร์ ศิลปิน หรือนักดนตรี ถึงแม้ปัจจุบันจะมี AI ที่สามารถสร้างภาพวาด แต่งเพลง หรือเขียนบทความได้ แต่ผลงานที่ออกมานั้นมักจะมาจากการเรียนรู้และผสมผสานจากข้อมูลที่มีอยู่เดิม ยังขาด "จิตวิญญาณ" ที่แท้จริง งานสร้างสรรค์ที่ยอดเยี่ยมมักจะเกิดจากประสบการณ์ชีวิต อารมณ์ความรู้สึก และมุมมองต่อโลกที่ไม่เหมือนใครของศิลปินคนนั้น ๆ

ดังนั้น สาขาสายสร้างสรรค์และศิลปะจึงเป็นอีกหนึ่งสาขาที่เรียนแล้วไม่ตกงาน เพราะต่อให้งานศิลปะจาก AI จะสวยงามแค่ไหน แต่ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากดื่มด่ำกับงานศิลปะที่เป็นเพียงการ “ตัดแปะ” ไอเดียที่มีอยู่แล้วอย่างไร้จิตวิญญาณ

สาขาที่เรียนแล้วไม่ตกงาน คือสาขาที่เกี่ยวกับการสร้างงานศิลปะ

6. กลุ่มสาขาบริหารธุรกิจ (ที่เน้นกลยุทธ์และภาวะผู้นำ)

ตำแหน่งงานระดับสูงในสายธุรกิจอย่าง ผู้จัดการ ผู้บริหาร หรือนักวางกลยุทธ์ จะยังคงเป็นที่ต้องการเสมอ เพราะหน้าที่หลักของพวกเขาไม่ใช่การจัดการงานเอกสาร แต่คือ การตัดสินใจในสภาวะที่ไม่แน่นอน การบริหารคน การสร้างวิสัยทัศน์ให้องค์กร และการสร้างแรงจูงใจให้ทีม

AI เป็นเครื่องมือชั้นยอดในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ แต่คนที่จะต้องรับผิดชอบต่อผลของการตัดสินใจนั้นคือ "มนุษย์" ผู้นำต้องสามารถสื่อสารวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน แก้ไขความขัดแย้งในทีม และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีได้ อีกทั้งยังจะต้องมีทักษะความเป็นผู้นำ (Leadership) และการบริหารจัดการคน (People Management) ซึ่งเป็นทักษะเชิงสังคมที่ซับซ้อนและเป็นที่ต้องการสูงมากในยุคนี้

7. กลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์ข้อมูลและผู้เชี่ยวชาญด้าน AI

อาจจะฟังดูย้อนแย้ง แต่ในยุคที่ AI กำลังเติบโต อาชีพที่มาแรงที่สุดก็คือ คนที่สามารถสร้าง ควบคุม และนำ AI ไปใช้ประโยชน์ได้นั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ ถ้าถามว่าคณะอะไรเรียนแล้วไม่ตกงาน หรือมีความเสี่ยงจะโดน AI แย่งงานน้อยที่สุด คำตอบก็อาจจะเป็นสาขานี้ก็ได้ เพราะยิ่ง AI พัฒนาก้าวหน้าเท่าไร โลกก็ยิ่งต้องการนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล (Data Scientist) ที่จะเปลี่ยนข้อมูลดิบให้เป็น Insight ทางธุรกิจ รวมถึงวิศวกรการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning Engineer) ที่จะพัฒนาโมเดล AI ให้ฉลาดขึ้น และผู้เชี่ยวชาญด้านจริยธรรม AI (AI Ethicist) ที่จะคอยกำกับดูแลให้การใช้ AI เป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม

8. กลุ่มสาขางานช่างฝีมือและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง

อีกหนึ่งสาขาที่เรียนแล้วไม่ตกงานคือสาขาที่ต้องใช้ทักษะฝีมือ และต้องทำงานกับเครื่องมือที่ซับซ้อนในสภาพแวดล้อมที่คาดเดาไม่ได้ เนื่องจากเป็นงานที่หุ่นยนต์ทำได้ยากมาก ไม่ว่าจะเป็น ช่างไฟฟ้า ช่างประปา ช่างซ่อมบำรุงเครื่องจักรที่ซับซ้อน หรือเชฟ

ลองนึกภาพการเดินสายไฟในบ้านเก่า ๆ หรือการซ่อมท่อในที่แคบ ๆ หรืองานของ เชฟ ที่ต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ในการสร้างสรรค์เมนูใหม่ ๆ การชิม การดมกลิ่น การจัดจานให้สวยงาม สิ่งเหล่านี้ต้องการทักษะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าและความยืดหยุ่นในการทำงานที่ยังจินตนาการไม่ออกว่า AI จะเข้ามาแทนที่ได้อย่างไร 

 รวมลิสต์สาขาที่เรียนแล้วไม่ตกงาน AI แทนที่ได้ยาก

9. กลุ่มสาขาสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืน

ปัญหาสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาใหญ่ระดับโลกที่ซับซ้อนและต้องการแนวทางการแก้ไขแบบบูรณาการ อาชีพในสายนี้ เช่น นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน หรือนักวางผังเมืองสีเขียว จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

งานเหล่านี้ต้องอาศัยความเข้าใจในระบบนิเวศ การวิเคราะห์ผลกระทบทางสังคม การประสานงานกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่าย (ทั้งภาครัฐ, เอกชน, และชุมชน) และการคิดค้นนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ซึ่งงานในลักษณะนี้คือการแก้ปัญหาที่ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ต้องใช้ทั้งความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ความเข้าใจทางสังคม และความคิดสร้างสรรค์ไปพร้อม ๆ กัน

10. กลุ่มสาขาผู้ประกอบการและนวัตกรรม

ท้ายที่สุดแล้ว ทักษะที่ AI ไม่มีวันมีได้ก็คือ ความเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) เช่นความสามารถในการมองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น ความกล้าที่จะเสี่ยง ความสามารถในการสร้างทีมและระดมทรัพยากร และความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เพื่อแก้ปัญหาให้กับผู้คน

ไม่ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนไปแค่ไหน โลกจะยังต้องการคนที่มีไอเดียใหม่ ๆ และพร้อมที่จะลงมือทำให้เป็นจริงเสมอ ซึ่งสาขาที่สอนให้เราคิดแบบผู้ประกอบการคือสาขาที่เรียนแล้วไม่ตกงาน เพราะความรู้ที่ได้จะช่วยให้เราปรับตัวและสร้าง "งาน" ของตัวเองขึ้นมาได้เสมอ ไม่ว่าโลกอนาคตจะเป็นอย่างไร


ถ้าน้อง ๆ มีตัวเลือกในใจแล้วว่าจะเรียนคณะอะไรดี ขั้นต่อไปคือการวางแผนและเตรียมตัวเพื่อพิชิตด่านสำคัญอย่าง ระบบ TCAS ที่ต้องผ่านทั้งการสอบ TGAT, TPAT และ A-Level สำหรับน้อง ๆ ที่อยากติดอาวุธให้ครบมือก่อนลงสนามจริง ที่ Applied Physics มีคอร์สติวเข้มที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้น้อง ๆ พิชิตคณะในฝัน พร้อมเนื้อหาอัปเดตตรงแนวข้อสอบ ควบคู่ไปกับเทคนิคทำโจทย์เร็ว แม่น และไม่พลาดจุดสำคัญ โดยน้อง ๆ สามารถเลือกเรียนได้ทั้งคอร์สเรียนพิเศษออนไลน์และแบบคลาสสด

ดูรายละเอียดคอร์สทั้งหมดได้ที่เว็บไซต์ Applied Physics หรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ โทร. 02-3060867, 02-3060868, 02-3060869, 085-4925599 หรือ Line: @appliedphysics (มี @ นำหน้า)
loading
loading
เพิ่มในตะกร้าแล้ว
×
ชื่อคอร์ส
ราคา บาท
Line OA @appliedphysics