คณะเภสัชศาสตร์ เรียนอะไรบ้าง อยากสอบติดควรเตรียมตัวอย่างไร ? | Applied Physics
  กลับสู่หน้าบทความ

คณะเภสัชศาสตร์ ใช้คะแนนอะไรบ้าง ? และเคล็ดลับช่วยให้สอบติด

 14 พฤศจิกายน 2568 13:21:19
คณะเภสัชศาสตร์ ต้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องย

คณะเภสัชศาสตร์ คือหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้น ๆ ที่น้อง ๆ หลายคนใฝ่ฝัน ด้วยภาพลักษณ์ของ “เภสัชกร” หรือผู้เชี่ยวชาญด้านยา ที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพของผู้คน ทั้งในโรงพยาบาล ร้านขายยา อุตสาหกรรมผลิตยา ไปจนถึงงานวิจัยและงานในองค์กรภาครัฐ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอาชีพที่มั่นคงและสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม 

สำหรับน้อง ๆ ที่สนใจเรียนต่อในคณะเภสัชศาสตร์ บทความนี้จะช่วยให้เข้าใจภาพรวมของคณะนี้ได้ชัดเจนขึ้น ว่าคณะเภสัชศาสตร์ต้องเรียนอะไรบ้าง ? ทั้งยังช่วยให้สามารถวางแผนล่วงหน้าได้อย่างถูกทาง เช่น การเตรียมตัวสอบ หรือลงเรียนคอร์ส TPAT1 เพื่อเพิ่มโอกาสในการสอบติดอย่างที่ตั้งใจไว้

Table of Contents: 

• คณะเภสัชศาสตร์ เรียนอะไรบ้าง ?
• คณะเภสัชศาสตร์ ใช้คะแนนอะไรบ้าง ?
• วิธีเตรียมตัวสอบเข้าคณะเภสัชศาสตร์

คณะเภสัชศาสตร์ เรียนอะไรบ้าง ?

ในการเรียนการสอนของคณะเภสัชศาสตร์ โดยทั่วไปสามารถแยกหมวดหมู่วิชาหลักที่ต้องเรียนออกเป็น 4 หมวดใหญ่ ได้แก่ 

วิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์

น้อง ๆ จะได้เรียนวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่ต่อยอดจากระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยเนื้อหาจะลึกขึ้นและเชื่อมโยงกับด้านเภสัชศาสตร์มากขึ้น เช่น

• เคมีทั่วไปและเคมีอินทรีย์ เรียนรู้โครงสร้างของอะตอม พันธะเคมี ปฏิกิริยาทางเคมี การแยกสาร ไปจนถึงการวิเคราะห์สารประกอบอินทรีย์ที่เป็นส่วนประกอบของยา
• ชีววิทยา เจาะลึกเรื่องเซลล์ ระบบการทำงานของร่างกายมนุษย์ พันธุกรรม จุลชีววิทยา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของเภสัชวิทยา
• ฟิสิกส์ เรียนกลศาสตร์ ความร้อน ไฟฟ้า แสง และเสียง ซึ่งมีบทบาทในการออกแบบและควบคุมอุปกรณ์ทางเภสัชกรรม
• คณิตศาสตร์และสถิติ ใช้ในการคำนวณขนาดยา วิเคราะห์ผลทดลอง และงานวิจัย

วิชาเฉพาะทางเภสัชศาสตร์

วิชานี้เป็นหัวใจของการเรียนเภสัช โดยจะสอนให้นักศึกษาเข้าใจเกี่ยวกับยาในทุกมิติ เช่น

• เภสัชเคมี เรียนรู้เกี่ยวกับโครงสร้างทางเคมีของยา ความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างกับฤทธิ์ทางยา และการสังเคราะห์ยา วิชานี้จะช่วยให้เข้าใจว่าเหตุใดยาแต่ละชนิดจึงมีฤทธิ์เฉพาะเจาะจง
• เภสัชพฤกษศาสตร์ ศึกษาเกี่ยวกับพืชสมุนไพรและสารออกฤทธิ์จากธรรมชาติ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของยาหลายชนิด รวมถึงการนำมาพัฒนาเป็นยาสมัยใหม่
• เภสัชวิทยา ศึกษากลไกการออกฤทธิ์ของยา ผลของยาต่อร่างกาย ผลข้างเคียง และอันตรกิริยา (ปฏิกิริยาหรืออิทธิพลที่สารเคมี หรือยามีผลต่อกัน)
• เภสัชกรรมอุตสาหการ เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการผลิตยา ตั้งแต่การออกแบบสูตรยา การผลิตในระดับอุตสาหกรรม การควบคุมคุณภาพ และมาตรฐานการผลิตยา
• เภสัชจลนศาสตร์ วิเคราะห์การเคลื่อนที่ของยาในร่างกาย ตั้งแต่การดูดซึม การกระจายตัว การเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี และการขับถ่ายออกจากร่างกาย

วิชาด้านคลินิกและการให้คำปรึกษา

หลังจากที่มีความรู้เชิงทฤษฎีแล้ว น้อง ๆ จะได้เรียนรู้การนำความรู้ไปใช้ในการดูแลผู้ป่วยจริง เช่น

• การบริบาลทางเภสัชกรรม ฝึกทักษะเกี่ยวกับการให้คำปรึกษาผู้ป่วย การติดตามผลการใช้ยา การแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับยา และการทำงานร่วมกับทีมสหวิชาชีพ
• การให้คำแนะนำยา พัฒนาทักษะที่เภสัชกรต้องใช้ทุกวัน ไม่ว่าจะในโรงพยาบาลหรือร้านขายยา จะต้องสามารถอธิบายวิธีการใช้ยา ข้อควรระวัง และผลข้างเคียงได้อย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย
• การฝึกปฏิบัติงานในโรงพยาบาล เป็นส่วนสำคัญของหลักสูตร ซึ่งจะอยู่ในปีสุดท้ายของการศึกษา น้อง ๆ จะได้ฝึกงานจริงในโรงพยาบาล ร้านยา และสถานประกอบการต่าง ๆ เพื่อนำความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้และเรียนรู้การทำงานจริง

วิชาเสริมอื่น ๆ 

นอกจากวิชาหลักแล้ว ยังมีวิชาเสริมที่จำเป็นสำหรับการเป็นเภสัชกรที่สมบูรณ์ เช่น

• ภาษาอังกฤษ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการอ่านเอกสารทางวิชาการ บทความวิจัย และการติดตามความก้าวหน้าทางการแพทย์
• จริยธรรมวิชาชีพ สอนเกี่ยวกับจรรยาบรรณของเภสัชกร ความรับผิดชอบต่อผู้ป่วย และมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ
• การบริหารจัดการร้านยา สำหรับผู้ที่สนใจประกอบธุรกิจร้านยา ก็จะได้เรียนเรื่องการบริหารจัดการ การเงิน และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

น้อง ๆ ที่ตั้งใจเรียนเพราะรู้ว่าคณะเภสัชศาสตร์ ใช้คะแนนวิทยาศาสตร์เป็นหลัก

คณะเภสัชศาสตร์ ใช้คะแนนอะไรบ้าง ? 

รอบ 1 Portfolio

เหมาะสำหรับน้อง ๆ ที่มีผลงานทางวิชาการหรือกิจกรรมเด่น โดยคะแนนที่ใช้ประกอบ ได้แก่

• GPAX และ GPA รายกลุ่มวิชา (วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ)
• คะแนน TPAT1, TGAT, หรือคะแนนสอบภาษาอังกฤษ (เช่น TOEIC, IELTS)
• Portfolio (ผลงานด้านวิชาการ วิจัย หรือจิตอาสา)
• สอบสัมภาษณ์

หมายเหตุ: สัดส่วนของคะแนนจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละมหาวิทยาลัยกำหนด

รอบ 2 Quota

รับนักเรียนที่มีคุณสมบัติเฉพาะ เช่น อยู่ในเขตพื้นที่ หรือผ่านโครงการพิเศษ โดยคะแนนที่ใช้ ได้แก่

• GPAX
• TPAT1/ A-Level/ TGAT
• คะแนนอื่น ๆ เช่น วิชาเฉพาะ ภาษาอังกฤษ
• Portfolio และสอบสัมภาษณ์

หมายเหตุ: สัดส่วนของคะแนนจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละมหาวิทยาลัยกำหนด

รอบ 3 Admission (ในระบบ กสพท.)

รอบยอดนิยม ใช้เกณฑ์เดียวกันทั่วประเทศ โดยคะแนนหลักที่ใช้ ได้แก่

• TPAT1 คิดเป็น 30%
• A-Level คิดเป็น 70% แบ่งเป็น
• A-Level ฟิสิกส์, เคมี, ชีววิทยา 28% (ขั้นต่ำ 30 คะแนน)
• A-Level คณิต 1 14% (ขั้นต่ำ 30 คะแนน)
• A-Level อังกฤษ 14% (ขั้นต่ำ 30 คะแนน)
• A-Level ภาษาไทย 7% (ขั้นต่ำ 30 คะแนน)
• A-Level สังคม 7% (ขั้นต่ำ 30 คะแนน)

รอบ 3 Admission (นอกระบบ กสพท.)

บางมหาวิทยาลัยไม่เข้าร่วม กสพท. โดยจะกำหนดเกณฑ์เอง เช่น

• GPAX
• TGAT/ TPAT1/ A-Level
• อื่น ๆ เช่น Portfolio หรือคะแนนภาษาอังกฤษ

หมายเหตุ: สัดส่วนของคะแนนจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละมหาวิทยาลัยกำหนด

รอบ 4 Direct Admission

รอบสุดท้ายสำหรับน้อง ๆ ที่ยังไม่ได้ยืนยันสิทธิ์ในรอบก่อน โดยมหาวิทยาลัยจะเปิดรับเอง เช่น

• GPAX
• TGAT/ TPAT1/ A-Level
• คุณสมบัติเฉพาะอื่น ๆ ตามประกาศ

หมายเหตุ: สัดส่วนของคะแนนจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละมหาวิทยาลัยกำหนด

วิธีเตรียมตัวสอบเข้าคณะเภสัชศาสตร์

เตรียมความรู้พื้นฐานวิทยาศาสตร์ให้แน่น

คณะเภสัชศาสตร์เน้นวิชาวิทยาศาสตร์อย่างมาก โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการเรียนเภสัชเคมี เภสัชวิทยา และการวิเคราะห์โครงสร้างยาต่าง ๆ ดังนี้

• เคมี สำหรับหัวข้อสำคัญในวิชาเคมีที่ต้องแม่นเป็นพิเศษ ได้แก่ ปริมาณสารสัมพันธ์, โมล, กรด-เบส, สมดุลเคมี, ไฟฟ้าเคมี และอัตราการเกิดปฏิกิริยา
• ชีววิทยา ควรเข้าใจเรื่องเซลล์ ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น ระบบย่อยอาหาร ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบต่อมไร้ท่อ เป็นต้น เพราะเป็นพื้นฐานสำหรับวิชาเภสัชวิทยา
• ฟิสิกส์ อาจไม่เน้นเท่าคณะวิศวะ แต่ยังต้องเข้าใจเรื่องแรง งาน พลังงาน ฟิสิกส์ของคลื่น และความดัน เพราะมีบทบาทในการเรียนด้านเภสัชอุตสาหกรรม เช่น การบรรจุยา

ฝึกทำข้อสอบ A-Level และ TPAT1 ให้สม่ำเสมอ

นอกจากอ่านหนังสือแล้ว การฝึกฝนทำข้อสอบอย่างสม่ำเสมอก็นับเป็นสิ่งจำเป็น โดยควรปฏิบัติ ดังนี้

• ฝึกทำข้อสอบย้อนหลัง เพื่อประเมินตนเองว่ามีจุดอ่อนตรงไหน และช่วยฝึกการจับเวลาสอบจริง
• ทำ Mock Exam คือการทำข้อสอบย้อนหลัง โดยใช้การจับเวลาตามการสอบจริง เพื่อฝึกจิตใจและวินัยในการจัดทำข้อสอบให้ทันเวลา
• ใช้เทคนิค Mind Mapping เพื่อสรุปเนื้อหาแต่ละบทให้เข้าใจง่าย ลดการท่องจำ เพื่อช่วยให้เห็นภาพรวมของเนื้อหาในแต่ละวิชาอย่างเป็นระบบ

เตรียมตัวด้านสัมภาษณ์

ในการสอบรอบต่าง ๆ เช่น รอบ Portfolio และ Quota จะมีการสัมภาษณ์ ซึ่งเน้นทัศนคติ ความตั้งใจ และบุคลิกภาพของผู้สมัคร ดังนี้

• ฝึกตอบคำถามเชิงทัศนคติ เช่น “ทำไมถึงอยากเป็นเภสัชกร ?” หรือ “คุณคิดว่าหน้าที่ของเภสัชกรคืออะไร ?”
• เตรียมตัวด้านบุคลิกภาพ การพูดจา และความมั่นใจ
• หากมีประสบการณ์จิตอาสา หรือกิจกรรมทางสุขภาพ ควรนำเสนอให้ชัดเจน เพราะแสดงถึงความสนใจและความตั้งใจจริง

วางแผนการอ่านหนังสือ

การจัดตารางอ่านหนังสืออย่างเป็นระบบ จะช่วยให้น้อง ๆ ไม่รู้สึกเครียดหรืออ่านสะเปะสะปะ โดยมีวิธีปฏิบัติ ดังนี้

• จัดตารางอ่านรายสัปดาห์ แบ่งวิชาหลักออกเป็นวัน เช่น จันทร์-ชีวะ อังคาร-เคมี เป็นต้น
• ตั้งเป้าหมาย เช่น ภายใน 1 สัปดาห์ต้องอ่านให้จบบทนี้ และทำแบบฝึกหัดควบคู่กันไป 
• แบ่งเวลาทบทวนอย่างชัดเจน เนื่องจากการอ่านอย่างเดียวอาจยังไม่พอ ควรเผื่อเวลาไว้สำหรับการย้อนกลับมาทบทวนด้วย
• ฝึกโจทย์ให้หลากหลาย ทั้งแนวเนื้อหา แนววิเคราะห์ และข้อสอบเก่าเพื่อให้คุ้นเคยกับรูปแบบจริง


มาเตรียมตัวสอบเข้าคณะเภสัชศาสตร์ได้อย่างมั่นใจ ด้วยคอร์สติวสอบ TPAT1 จาก Applied Physics เจาะลึกข้อสอบเฉพาะทางสำหรับสายแพทย์ฯ โดยเฉพาะ เนื้อหาแน่น อธิบายเข้าใจง่าย พร้อมเทคนิคทำข้อสอบให้แม่นและทันเวลา เริ่มเรียนได้เลยทั้งออนไลน์และไลฟ์คลาส สอบติดคณะทันตแพทย์ได้อย่างที่ใจฝัน

สอบถามรายละเอียดคอร์สเรียนเพิ่มเติมได้ที่

โทร: 02-306086702-306086802-3060869085-4925599

LINE: @appliedphysics (มี @ ด้วยนะ)

 

ข้อมูลอ้างอิง

1. กสพท 69 - TPAT1 เปิดรับสมัคร 1 - 20 ต.ค. 68 ปีนี้ รับรวมกว่า 2,315 ที่นั่ง. สืบค้นเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2568 จาก https://www.dek-d.com/tcas/67280/

loading
loading
เพิ่มในตะกร้าแล้ว
×
ชื่อคอร์ส
ราคา บาท
Line OA @appliedphysics